ในปี พ.ศ. 2443 งานวิทยาการเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์) เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับ เจ้าจอมมารดาตลับ โดยในขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม โดยทรงตั้ง“กองพิมพ์ลายนิ้วมือ” ขึ้นมาสำหรับตรวจลายนิ้วมือ ผู้ต้องหาในคดีอาญา อันเป็นจุดเริ่มต้นของการตรวจพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคล
ปี พ.ศ. 2444 จัดให้มีการพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือของนักโทษที่จะพ้นโทษเก็บไว้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันตัวบุคคลว่าได้เคยกระทำความผิดมาก่อน ดังนั้นพระองค์จึงเปรียบเสมือน “บิดาวิชาลายพิมพ์นิ้วมือ “
ในปี พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชโองการให้จัดวางโครงการตำรวจขึ้นใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อกรมตำรวจภูธร เป็นกรมตำรวจ และให้เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจัดแบ่งแผนกงานรายย่อยตามความเหมาะสม ซึ่งได้มีการจัดแผนกวิทยาการอยู่ในสังกัดเป็นกองที่สามของตำรวจสันติบาล
ปี พ.ศ. 2482 มีการขยายงานวิทยาการไปสู่ส่วนภูมิภาคเป็นครั้งแรก โดยพล.ต.ต.หลวงพิสิฐวิทยากร ( ขณะนั้นยศ พ.ต.ท.) ได้ขยายงานทะเบียนพิมพ์ลายนิ้วมือไปตั้งที่ภาคต่างๆ
เขตเหนือ ตั้งที่ พิษณุโลก
เขตใต้ ตั้งที่ สงขลา
เขตตะวันออก ตั้งที่ นครราชสีมา
เขตตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งที่ อุดรธานี
ต่อมาในปี 2483 ได้มีการปรับปรุงและขยายงานของกรมตำรวจ ได้จัดตั้งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและให้งานด้านวิทยาการมาขึ้นตรงกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
ในปี พ.ศ. 2500 องค์การบริหารวิเทศกิจสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย(U.S.O.M.) ได้ให้ความช่วยเหลืองานด้านวิทยาการตำรวจ ตำรวจภูธร ไต่สวนผู้ร้ายฆ่านายพรมมา และบุตร ณ บริเวณที่ว่าการอำเภอพิมาย มณฑลนครราชสีมา
ปี พ.ศ. 2503 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ปรับปรุงหน่วยงานใหม่ โดยยุบ “กองวิทยาการ” ออกจากสาระบบทำเนียบราชการตำรวจ และแยกงานของกองนี้ออกเป็น 2 กอง คือ กองพิสูจน์หลักฐาน และ กองทะเบียนประวัติอาชญากร โดยขึ้นตรงต่อกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมตำรวจ ตั้งแต่ 13 กันยายน 2503
ปี พ.ศ. 2509 ได้ขยายงานวิทยาการออกสู่ภูมิภาค โดยได้รับความช่วยเหลือจากยูซ่อม
ปี พ.ศ. 2519 คำสั่งคณะปฏิรูปที่ 45 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 จัดตั้งกองบังคับการตำรวจภูธรขึ้นในส่วนภูมิภาคตามจังหวัดต่าง ๆ จำนวน 12 กองบังคับการ มีการจัดตั้งคณะทำงานปรับปรุงงานวิทยาการตำรวจ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถงานวิทยาการตำรวจในส่วนภูมิภาค
ต่อมาปี พ.ศ. 2535 ได้มีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมตำรวจใหม่ โดยรวมหน่วยงานด้านวิทยาการตำรวจ ซึ่งได้แก่ กองพิสูจน์หลักฐาน กองทะเบียนประวัติอาชญากรและ งานวิทยาการในส่วนภูมิภาค ขึ้นเป็น สำนักงานวิทยาการตำรวจ (สวท.)ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากองบัญชาการ จึงทำให้สำนักงานวิทยาการตำรวจ (สวท.) ได้ถือกำเนิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยได้แบ่งแยกการทำงานออกเป็นหน่วยงานย่อย ในระดับ กองกำกับการเขต และ วิทยาการจังหวัด
วันที่ 1 กรกฎาคม 2548 ได้มี พ.ร.ฏ.แบ่งส่วนราชการใหม่ ให้ “สำนักงานวิทยาการตำรวจ“ เปลี่ยนชื่อเป็น “ สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ “ มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทั้งระบบ โดยมีการตั้งหน่วยงานระดับกองกำกับการเขตเพิ่มขึ้นอีก 7 แห่ง รวมเป็น 19 แห่ง ทำให้การบริการประชาชน ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทย ! |